เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติ
(โทคุชิมะ / โคจิ)
• Kansai International Airport ⇒ Naruto Strait
[ ขับรถประมาณ 148 นาที ]
Naruto Strait (Tokushima) - ช่องแคบนารุโตะ เป็นจุดหนึ่งในบริเวณทะเลในเซโตะ ที่กระแสน้ำทะเลขึ้นและลงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จนติดอันดับ Top 3 ของโลก ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่นี่จะเกิดปรากฏการณ์ธรรมเป็นกระแสน้ำวน (Naruto Whirlpools) ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเที่ยวชม
• Naruto Strait ⇒ Bizan Ropeway
[ ขับรถประมาณ 170 นาที ]
Bizan Ropeway (Tokushima) – ภูเขาบิซัน (Mt. Bizan) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโทคุชิมะ ในวันที่ฟ้าเปิด อากาศสดใส การขึ้นกระเช้า Bizan Ropeway ขึ้นไปชมวิวมุมกว้าง ที่สามารถมองเห็นคาบสมุทร Kii และเกาะ Awaji ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าสด ภายใต้ท้องฟ้าสีครามสดใส เป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาเยือนโทคุชิมะ
• Bizan Ropeway ⇒ Udatsu Townscape
[ ขับรถประมาณ 69 นาที ]
Udatsu Townscape (Tokushima) – ย่านการค้าเก่าแก่ที่เคยเฟื่องฟูมากในสมัยเอโดะ (1600 – 1868) โดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องงานผ้าย้อมคราม ปัจจุบันอาคารร้านค้าต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ ยังคงได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาเดินเที่ยวชมบรรยากาศย้อนยุคทีย่านนี้
แนะนำที่พักย่าน Udatsu Townscape
• National Heritage Area Ochiai Village ⇒ Kazura Bridge
[ ขับรถประมาณ 25 นาที ]
National Heritage Area Ochiai Village (Tokushima) – บ้านเรือนหลังคามุงหญ้าที่เป็นเอกลักษณ์การก่อสร้างของท้องถิ่นนี้ ถูกสร้างขึ้นไล่ระดับตามแนวเขา เป็นลักษณะของขั้นบันได ถือเป็นความโดดเด่นของหมู่บ้านอนุรักษ์ Ochiai แห่งนี้ นอกจากนักท่องเที่ยวจะสามารถไปเดินเที่ยวชมภายในหมู่บ้านได้แล้ว ยังมีจุดชมวิวเฉพาะ ที่สามารถมองเห็นบริเวณหมู่บ้านทั้งหมดได้อีกด้วย
Kazura Bridge (Tokushima) – หนึ่งในสะพานเถาวัลย์สำคัญที่ชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในแถบหุบเขาอิยะ (Iya Valley) สร้างขึ้นภายใต้การนำของตระกูล Heike ผู้นำแถบนี้ในอดีต เพื่อความสะดวกในการสัญจรไปมาข้ามโตรกธาร ก็คือ Iya-no-Kazura Bashi ในช่วงค่ำบริเวณสะพานแห่งนี้จะถูกประดับด้วยแสงไฟ (Light-up) ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ และน่ามาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง (สะพานเถาวัลย์นี้จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3 ปี)
• Kazura Bridge ⇒ / Statue of a Peeing Boy
[ รถประจำทางประมาณ 15 นาที ]
Iya Valley / Statue of a Peeing Boy (Tokushima) – หุบเขาอิยะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดโทคุชิมะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีโตรกธารที่คดเคี้ยว หน้าผาหิน และป่าเขาอุดมสมบูรณ์ที่เป็นเสน่ห์น่าเที่ยวชม และสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของหุบเขาแห่งนี้ก็คือรูปปั้นเด็กฉี่ หรือ The Peeing Boy of Iya Gorge ตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าผาสูงราว 200 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่กล่าวกันว่าอันตรายที่สุดในหุบเขาอิยะแห่งนี้ (ในอดีตเด็กๆ ในท้องถิ่น จะมาแข่งกันฉี่ เพื่อแสดงความกล้า ณ จุดนี้)
• Iya Valley / Statue of a Peeing Boy ⇒ Oboke Gorge Sightseeing Boat
[ รถประจำทางประมาณ 25 นาที ]
Oboke Gorge Sightseeing Boat (Tokushima) – กิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเมื่อมาเยือนโตรกธาร Oboke ก็คือการนั่งเรือท่องเที่ยว ชมสองฝั่งน้ำอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ตลอดทั้งปี โดยใช้เวลาในการล่องเรือไป-กลับในแม่น้ำ Yoshino สัมผัสธรรมชาติอันสดชื่น ประมาณ 30 นาที
• Oboke Gorge Sightseeing Boat ⇒ Oboke Gorge
[ เรือประมาณ 30 นาที ]
Oboke Gorge (Tokushima) – หนึ่งในบริเวณโตรกธารที่สำคัญของจังหวัดโทคุชิมะ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหุบเขาอิยะ มีแม่น้ำ Yoshino ที่น้ำค่อนข้างไหลเชี่ยวเป็นสัญลักษณ์สำคัญ โตรกธารในช่วงนี้มีระยะทางยาวราว 8 กิโลเมตร มีโขดหินและหน้าผาหินมากมาย ซึ่งสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม
แนะนำที่พักบริเวณ Oboke Gorge
• Niko Deep ⇒ Nakatsu Valley
[ ขับรถประมาณ 43 นาที ]
Niko Deep (Kochi) – ในบริเวณที่แม่น้ำ Niyodo ไหลผ่าน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นอยู่หลายจุด หนึ่งในนั้นก็คือ Niko Buchi Deep Water ซึ่งเป็นแอ่งน้ำตก ที่มีน้ำสีฟ้าสดใสแปลกตา ซึ่งเปลี่ยนเฉดสีไปได้ในระหว่างวัน ขึ้นก็กับมุมของแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบผิวน้ำ ในอดีตชาวบ้านท้องถิ่นจะไม่เข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสัตว์เทพซึ่งเป็นเทพแห่งสายน้ำอาศัยอยู่ ปัจจุบันเป็นหนึ่งใน photo spot ที่นักท่องเที่ยวนิยม เมื่อมาเยือนจังหวัดโคจิ
Nakatsu Valley (Kochi) – หุบเขา Nakatsu เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับ Niyodo Blue (พื้นที่ซึ่งอยู่เลียบฝั่งแม่น้ำ Niyodo) ได้อย่างใกล้ชิด เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอยู่หลายแห่ง อาทิ น้ำตกอุเรียว (Uryu Falls), Autumn Leaves Falls, Ryugu Deep Water, และเสาหินธรรมชาติ เป็นต้น ที่หุบเขาแห่งนี้ มีเส้นทางเที่ยวชมธรรมชาติระยะทางยาวราว 2.3 กิโลเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
• Nakatsu Valley ⇒ Shikoku Karst (Tengu Highland)
[ ขับรถประมาณ 60 นาที ]
Shikoku Karst (Kochi) – บริเวณที่ราบสูงเทงงุ (Tengu Highland) ของจังหวัดโคจิ มีทุ่งหินปูนที่ถูกน้ำกัดเซาะ (karst) มาเป็นเวลาช้านาน สร้างให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามแปลกตา นอกจากนี้ในวันที่ท้องฟ้าสดใส จะสามารถมองเห็นหุบเขา Ishizuchi ที่สลับซับซ้อน สะท้อนความงดงามในแต่ละฤดูกาลให้ได้ชมอีกด้วย
• Shikoku Karst (Tengu Highland) ⇒ Shimanto City
[ ขับรถประมาณ 140 นาที ]
Shimanto City (Kochi) – เมืองชิมันโตะตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดโคจิ มีแลนด์มาร์คสำคัญคือแม่น้ำชิมันโตะกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายของเมืองจึงมักจะอยู่ในบริเวณแม่น้ำ อาทิ การปั่นจักรยานท่องเที่ยวเลียบแม่น้ำ การล่องเรือชมสองฝั่งน้ำ การเดินเที่ยวชมซากุระและดอกไม้อื่นๆ ตามฤดูกาล และการตั้งแคมป์ตกปลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอีกหลายจุด อาทิ ย่าน Nakamura ฉายา ‘Little Kyoto of Tosa’ ซึ่งเป็นย่านที่เฟื่องฟูมากเมื่อราว 550 ปีก่อน เป็นต้น
* Tosa เป็นชื่อแคว้นดั้งเดิมของบริเวณที่จังหวัดโคจิตั้งอยู่
แนะนำที่พักใน Shimanto City
• Sadachinkabashi Bridge / Shimanto River Sightseeing Boat ⇒ Seaside Gallery
[ ขับรถประมาณ 30 นาที ]
Sadachinkabashi Bridge (Kochi) – แม่น้ำชิมันโตะ เป็นแม่น้ำที่ใหญ่และยาวที่สุดบนเกาะชิโกกุ (196 กิโลเมตร) ในช่วงฤดูน้ำหลากจึงมีกระแสน้ำที่อันตรายและระดับน้ำที่หลากสูงมาก เพื่อประโยชน์ในการใช้งานระยะยาว จึงมีการสร้างสะพาน Sada Chinkabashi Submersible Bridge ขึ้นมา โดยสะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้สามารถทนกระแสน้ำและจมอยู่ใต้แม่น้ำในช่วงที่น้ำขึ้นสูงมากได้ เป็นสะพานที่เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นอย่างมาก และมีเพียงไม่กี่แห่งที่มีสะพานแบบนี้ Sada Chinkabashi Submersible Bridge จึงกลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองชิมันโตะ
Shimanto River Sightseeing Boat (Kochi) – การล่องเรือแบบดั้งเดิมในแม่น้ำชิมันโตะ (Yakatabune Shimanto-no-Ao) เป็นกิจกรรมที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมสองฝั่งแม่น้ำได้อย่างสะดวกสบายและเพลิดเพลิน เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้ใช้วีลแชร์ก็สามารถใช้บริการได้ ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 60 นาที (แล้วแต่ course) แล้วยังมีบริการอาหารท้องถิ่นบนเรือด้วย
Seaside Gallery (Kochi) – บริเวณชายหาด Irino ของจังหวัดโคจิ ถูกสร้างให้เป็น Art Gallery กลางแจ้ง ในหลากหลายรูปแบบ ภายใต้ชื่อ Sunabi Museum นิทรรศการที่โดดเด่นคือ T-shirt Art Exhibition ที่มีกระแสลม เกลียวคลื่น แสงแดด สีสันของท้องฟ้าและท้องทะเล ช่วยสร้างสรรค์ให้ผลงานที่จัดแสดง มีมติและน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
• Seaside Gallery ⇒ Katsurahama
[ ขับรถประมาณ 110 นาที ]
Katsurahama (Kochi) – ชายหาดที่เป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดโคจิ มีทิวสนเรียงรายอยู่มากมายจนเป็นเอกลักษณ์ กล่าวกันว่าเป็นหาดที่เหมาะกับการชมจันทร์มากๆ ไม่ไกลกันคือ Katsurahama Park ที่มีอนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น Sakamoto Ryoma ตั้งอยู่ ในบริเวณเดียวกันก็ยังมี Tosa Dog Museum และ Katsurahama Aquarium นอกจากนี้ ด้านบนเขายังเป็นที่ตั้งของ Sakamoto Ryoma Memorial Museum อีกด้วย
• Katsurahama ⇒ Hirome Market
[ ขับรถประมาณ 28 นาที ]
Hirome Market (Kochi) – ตลาดซึ่งเป็นศูนย์รวมของทั้งอาหารสด อาหารแห้ง และร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วยร้านค้ากว่า 60 ร้าน ซึ่งสามารถหาชิมเมนูยอดนิยมของจังหวัดโคจิ ‘Katsuo no tataki’ ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบสดๆ รสชาติดี และราคาไม่แพงได้ที่ตลาดแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมตัวของทั้งผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว
• Hirome Market ⇒ Kochi
[ เดินเท้าประมาณ 20 นาที ]
Kochi City (Kochi) – เมืองหลักของจังหวัดโคจิ และยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลากหลายรูปแบบ อาทิ ปราสาทโคจิ ตลาดฮิโรเมะ จุดชมวิวภูเขาโกได พิพิธภัณฑ์เรียวมะ และชายหาดคัตสึระฮามะ เป็นต้น โอบล้อมไปด้วยภูเขา แม่น้ำ และท้องทะเล (มหาสมุทรแปซิฟิค) ดังนั้นนอกจากจะเป็นเมืองที่มีความทันสมัยแล้ว ก็ยังมีทัศนียภาพที่สวยงามอีกด้วย
แนะนำที่พักใน Kochi
• Kitagawa Village "Monet's Garden" ⇒ Ioki Cave
[ ขับรถประมาณ 22 นาที ]
Kitagawa Village (Kochi) – หมู่บ้านคิตะกาวะ ฉายา ‘สวนของโมเน่ต์’ เป็นสวนเพียงแห่งเดียวนอกประเทศฝรั่งเศส ที่สะท้อนภาพวาดของศิลปินดัง Claude Monet ออกมาในรูปแบบของสวน ภายในประกอบไปด้วยสวนย่อย 3 ส่วน คือ Flower Garden (Hano no Niwa), Water Garden (Mizu no Niwa), และ Garden of Bordighera (Bordighera no Niwa) นอกจากนี้ยังมีร้านเบเกอรี่ คาเฟ่ และ Gallery & Shop ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
• Ioki Cave ⇒ SEA HOUSE
[ ขับรถประมาณ 25 นาที ]
Ioki Cave (Kochi) – ถ้ำไอโอคิ มีความลึกประมาณ 40 เมตร เป็นถ้ำที่มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นมาก เนื่องจากมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านอยู่ตลอดทั้งปี ผนังถ้ำเขียวชอุ่มไปด้วยมอสและเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ในลักษณะของพื้นที่ที่พบได้ในแถบร้อนชื้น แต่กลับเป็นถ้ำที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย เพราะอยู่ไม่ไกลจากถนนทางหลวงสายหลัก
• SEA HOUSE ⇒ Kochi Airport
[ ขับรถประมาณ 17 นาที ]
SEA HOUSE (Kochi) – ร้านอาหารที่เน้นเมนูอาหารทะเลชั้นดี วัตถุดิบสดจากทะเลในท้องถิ่นของจังหวัดโคจิ มีเมนูพาสต้าที่หลากหลาย และของหวานในรูปแบบ house-made เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้สถานที่ตั้งยังอยู่ใกล้ทะเล เป็นอาคารทันสมัยกระจกใสริมหน้าผายื่นออกไปสู่ทะเล จึงช่วยสร้างบรรยากาศในการรับประทานอาหารท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมวิวที่เปิดโล่ง (ocean view)